นายสาทร โตโพธิ์ไทย ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ได้เปิดเผยว่าพระราชบัญญัติสถาบัน คุ้มครองเงินฝาก (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2560 โดยหลักการแก้ไขกฎหมายใหม่ดังกล่าว เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลเรื่องการ จ่ายเงินคืนให้กับผู้ฝากเงิน ซึ่งจะต้องทำให้การจ่ายเงินเร็วที่สุด ตลอดจนช่วยพัฒนากลไกการคุ้มครองเงินฝาก แก่ผู้ฝากเงิน สร้างความเชื่อมั่น และลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสถาบันการเงินอื่น ๆ ในระบบ รวมทั้งสร้างเสถียรภาพให้แก่ระบบสถาบันการเงินที่ยั่งยืน สาระสำคัญ มีดังนี้

1. ยกเลิกขั้นตอนให้ผู้ฝากเงินต้องมายื่นคำขอรับเงินภายหลังจากที่สถาบันการเงินถูกเพิกถอนใบอนุญาต โดยตามกฎหมายใหม่ สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สศฝ.) มีหน้าที่จ่ายคืนเงินฝากแก่ผู้ฝากเงินภายใน 30 วัน ภายหลังจากที่สถาบันการเงินถูกเพิกถอนใบอนุญาต โดยที่ผู้ฝากไม่ต้องยื่นคำขอ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้ฝากเงิน

2. หากผู้ฝากเงินมีหนี้ที่ถึงกำหนดชำระเป็นจำนวนที่แน่นอนก่อนหรือในวันที่สถาบันการเงินถูกเพิก ถอนใบอนุญาต กฎหมายกำหนดให้หักหนี้ดังกล่าวออกก่อนการจ่ายคืนเงินฝากแก่ผู้ฝากเงิน

3. เพิ่มความชัดเจนในการกำหนดให้ สคฝ. สามารถกู้ยืมเงิน นอกเหนือจากการออกตราสารทางการเงินที่สามารถทำได้อยู่แล้วตามกฎหมายเดิม การที่กฎหมายกำหนดให้ สคฝ. กู้ยืมเงินได้ ก็เพื่อประโยชน์ ในการจ่ายคืนและเพื่อดำเนินการตามพันธกิจของ สคฝ. ได้

4. เพิ่มอำนาจให้คณะกรรมการควบคุมสถาบันการเงินและ สคฝ. สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน ซึ่งจากเดิมไม่ได้กำหนดให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้

5. กำหนดให้สาขาของธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไทย เพื่อประโยชน์ในการชำระบัญชี

6. กำหนดให้คณะกรรมการ สคฝ. รายงานผลการดำเนินงานต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จากเดิมรายไตรมาสเป็นรายครึ่งปี

ทั้งนี้ วงเงินการคุ้มครองเงินฝากปัจจุบันอยู่ที่ 15 ล้านบาทต่อรายผู้ฝากต่อสถาบันการเงิน และจะมี การปรับวงเงินตามลำดับ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องการคุ้มครองเงินฝาก ได้ทางศูนย์บริการข้อมูลคุ้มครองเงินฝาก โทร.1158 และศึกษาข้อมูลได้ทางเว็บไซต์ www.dpa.or.th