ส่องพฤติกรรมการออมคนไทย 2562

การมีบัญชีเงินฝากถือเป็นหนึ่งในบริการทางการเงินขั้นพื้นฐานที่ทุกคนควรเข้าถึงได้เพราะการมีบัญชีเงินฝาก ไม่เพียงเป็นจุดเริ่มต้นที่นําไปสู่การออมในรูปแบบหนึ่ง ยังเป็นประตูในการเข้าถึงบริการทางการเงินประเภทต่าง ๆ ไม่ว่า จะเป็นการขอสินเชื่อ การโอน/รับเงิน หรือการชําระเงิน เป็นต้น การเข้าถึงบัญชีเงินฝากหรือความเป็นเจ้าของบัญชีเงิน ฝากจึงถือว่ามีความสําคัญอย่างยิ่ง ในบทความนี้เราจะนําเสนอมุมมองเชิงลึกของพฤติกรรมการออมของคนไทยที่ได้ จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของเงินฝากรายบัญชีจากสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (Deposit Protection Agency: DPA) ที่ครอบคลุมกว่า 80 ล้านบัญชี

ข้อมูลล่าสุดของธนาคารโลกแสดงให้เห็นว่าคนไทย สามารถเข้าถึงบริการเงินฝากและ/หรือบัญชี mobile money ได้ในสัดส่วนที่สูงเทียบเท่ากับประเทศพัฒนา โดยสูงเป็น อันดับที่ 20 ของโลก และเป็นอันดับ 6 ในเอเซีย (รองจาก ญี่ปุ่น สิงคโปร์ฮ่องกง ไต้หวัน และมาเลเซีย) (WB, 2017) สัดส่วนของคนไทยหรือครัวเรือนไทยที่มีบัญชีเงินฝากกับ ธนาคารพาณิชย์ก็เพิ่มสูงขึ้นทุกปี(IMF, 2019 และ BOT, 2018) แต่สัดส่วนการออมต่อรายได้ของครัวเรือนไทยกลับมี แนวโน้มลดลง (SES, 2017) ซึ่งภาวะการออมที่ลดลง อาจ ส่งผลให้ครัวเรือนมีสภาพคล่องไม่เพียงพอรองรับความ ต้องการใช้จ่ายหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด (shock) รวมถึง รองรับในวัยหลังเกษียณ อันเป็นหนึ่งในสาเหตุของหนี้ ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น

ที่ผ่านมาการศึกษาเรื่องการออมส่วนใหญ่ใช้ข้อมูล สํารวจรายครัวเรือน ซึ่งอาจมีข้อดีตรงที่สามารถครอบคลุม การออมทุกประเภททั้งสินทรัพย์ทางการเงินและไม่ใช่ทาง การเงินของแต่ละครัวเรือนได้แต่จํานวนกลุ่มตัวอย่างของ ข้อมูลสํารวจส่วนใหญ่ไม่ได้ครอบคลุมคนทุกกลุ่มของประเทศ รวมถึงข้อมูลสํารวจเป็นข้อมูลที่ครัวเรือนตัดสินใจตอบเอง หรือ self-reporting ซึ่งอาจมีหลายเหตุผลที่ทําให้ข้อมูลจาก การสํารวจไม่ตรงตามข้อเท็จจริง ข้อมูลสถิติขนาดใหญ่จาก DPA ที่ครอบคลุมเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ทั่วประเทศ และมีรายละเอียดในระดับบัญชีและผู้ฝากเงิน จึงเข้ามาเติมเต็ม องค์ความรู้และน่าจะทําให้เราเข้าใจสถานการณ์ออมที่ถูกต้อง และในเบื้องลึกขึ้น รวมถึงสามารถนําไปต่อยอดเชิงนโยบายได้

ข้อมูลบัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์จาก DPA

ข้อมูลเชิงสถิติของ DPA เป็นข้อมูลรายบัญชีเงินฝาก ที่สถาบันการเงินที่ได้รับการคุ้มครองรายงานมาที่ DPA ใน การศึกษานี้ เราใช้ข้อมูลล่าสุดของ DPA โดย ณ มิถุนายน 2560 DPA มีปริมาณเงินฝากรวมทั้งสิ้น 12 ล้านล้านบาท มี บัญชีเงินฝากกว่า 80.2 ล้านบัญชี ของผู้ฝากเงินบุคคล ธรรมดา 37.9 ล้านคน จากสถาบันการเงิน 34 แห่ง1 (ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ไทย ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย ธนาคาร พาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศ สาขาของ ธนาคารต่างประเทศ บริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ทุกแห่ง)

จุดเด่นของข้อมูลชุดนี้ นอกจากจะเป็น administrative data ที่ถูกจัดเก็บอย่างเป็นระบบแล้ว ข้อมูลนี้ยังครอบคลุมผู้ฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ทั้งหมดทั่วประเทศและครอบคลุม 72% ของเงินฝากในระบบทั้งหมด ข้อมูลนี้ยังครอบคลุมทุก ๆ บัญชีเงินฝากของผู้ฝากแต่ละรายกับทุกธนาคารพาณิชย์ ซึ่งต่างจากข้อมูลของสถาบัน การเงินที่ใดที่หนึ่ง ที่จะเห็นเฉพาะข้อมูลเงินฝากของสถาบัน เดียว ข้อมูลนี้ยังมีความละเอียดในระดับรายบัญชี ในสาม มิติหลัก ได้แก่ (1) รายละเอียดประเภทเงินฝากและสถาบัน การเงิน (2) รายละเอียดผู้ฝาก โดยเฉพาะอายุ เพศ และ รหัสไปรษณีย์ที่อยู่ (3) ปริมาณเงินฝาก

แต่จุดด้อยของข้อมูลชุดนี้ก็คือเป็นข้อมูลเพียง ณ เดือนมิถุนายน 2560 ซึ่งหากสถานการณ์ออมของคนบางกลุ่ม มีลักษณะเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล (seasonality) เช่น เกษตรกร ก็อาจไม่สามารถสะท้อนสถานการณ์ออมของคน กลุ่มนี้ในภาวะปกติได้ ประกอบกับข้อมูลชุดนี้ไม่ครอบคลุมเงิน ฝากของทุกประเภทสถาบันการเงินในระบบ (เช่น สถาบัน การเงินเฉพาะกิจ) สถาบันการเงินกึ่งในระบบ และนอกระบบ (อาทิ สหกรณ์ กองทุนหมู่บ้าน และกลุ่มออมทรัพย์) จึงควรใช้ ความระมัดระวังในการตีความในมิติของการออม เนื่องจาก อาจไม่สามารถสะท้อนการออมในรูปเงินฝากของคนไทยได้ ทั้งหมด รวมถึงการออมในรูปแบบอื่นด้วย

ในบทความนี้ Lamsam et al. (forthcoming) จะเปิด มุมมองเชิงลึกของพฤติกรรมการออมของคนไทย โดยใช้ ข้อมูลเงินฝากรายบัญชีจาก DPA ซึ่งมีความละเอียดในระดับ ผู้ฝากเงินและรายบัญชี ทําให้สามารถเห็นพอร์ตเงินฝากของ แต่ละผู้ฝากได้ รวมถึงครอบคลุมผู้ฝากทั่วประเทศ บทความนี้ มุ่งเน้นตอบคําถาม 2 ข้อหลัก ๆ คือ (1) คนไทยกลุ่มต่าง ๆ มี บัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์กันมากน้อยแค่ไหน และ (2) พฤติกรรมการออมในรูปแบบเงินฝากธนาคารพาณิชย์ของคน ไทยเป็นอย่างไร (มีกี่บัญชี ใช้บัญชีอะไร กับสถาบันการเงินใด) และมีนัยเชิงนโยบายอย่างไรบ้าง

ความกระจุกตัวของเงินฝากธนาคารพาณิชย์

เราพบว่าเงินฝากมีการกระจุกตัวสูง ในรูปที่ 1a เรา เรียงลําดับผู้ฝากแต่ละรายตามปริมาณเงินฝากและเส้นสี กรมท่าแสดงค่าสะสมของสัดส่วนเงินฝากของผู้ฝากแต่ละราย ต่อเงินฝากในระบบทั้งหมดจากคนที่มีเงินฝากน้อยที่สุดไปสู่ คนที่มีเงินฝากมากที่สุดและพบว่าผู้ฝากรายใหญ่สุด 10% มีเงินฝากรวมถึง 93% ของเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ทั้งหมด

นอกจากนี้ผู้ฝากรายใหญ่สุด 10% ยังมีการกระจาย ตัวของเงินฝากสูงเมื่อเทียบกับผู้ฝากในกลุ่ม decile อื่น รูปที่ 1b ฉายภาพการกระจายตัวของเงินฝากในแต่ละกลุ่ม decile ของผู้ฝาก โดยเรียงลําดับผู้ฝากแต่ละรายตามปริมาณเงินฝาก จะได้ 10 กลุ่ม decile จากคนที่มีเงินฝากน้อยที่สุด (decile 1) ไปยังคนที่เงินฝากมากที่สุด (decile 10) จากรูปจะเห็นได้ว่าผู้ ฝาก decile 5 (มีเงินในบัญชีระหว่าง 1,081.1-3,142.2 บาท) มี ค่ากลางเงินฝากที่ 1,992.1 บาท ขณะที่ผู้ฝาก decile 10 (เงิน ในบัญชี > 173,944.2 บาท) มีค่ากลางเงินฝากที่ 483,132.5 บาท

บัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์ กว่า 80 ล้านบัญชีอยู่ที่ ใครบ้าง

ในภาพรวมคนไทยกว่าครึ่ง (56.04%) มีบัญชีเงิน ฝากกับธนาคารพาณิชย์ แต่มีเงินในบัญชีน้อย โดย ครึ่งหนึ่งของผู้ฝากมีเงินในบัญชีไม่ถึง 3,142 บาท เรายัง พบว่า 32.8% ของผู้ฝาก (หรือ 12.2 ล้านคน) มีเงินในบัญชีไม่ เกิน 500 บาท ซึ่งในจํานวนนั้นมีผู้ฝากถึง 4.7 ล้านคนที่มีเงินในบัญชีไม่ถึง 50 บาท ขณะเดียวกันมีเพียง 0.2% ของผู้ฝาก ที่มีเงินในบัญชีมากกว่า 10 ล้านบาท ทั้งนี้ ความเป็นเจ้าของ บัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์มีความแตกต่างทั้งในมิติของ อายุ พื้นที่และระหว่างผู้ชายและผู้หญิง

เราพบว่ากลุ่มที่มีบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์ มากที่สุดคือกลุ่มวัยเริ่มทํางาน มีน้อยในกลุ่มวัยเด็ก และมี เกือบครึ่งในกลุ่มวัยหลังเกษียณ รูปที่ 2 ฉายภาพความ แตกต่างของความเป็นเจ้าของบัญชีของกลุ่ม decile และ สถานการณ์เงินฝากตามอายุ โดย 80% ของกลุ่มคนวัยเริ่ม ทํางาน (21-35 ปี) จะมีบัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์ ขณะที่มี เพียง 10-30% ของกลุ่มคนวัยเด็ก (อายุ 15-18 ปี) ที่มีบัญชี และครึ่งหนึ่งของกลุ่มคนดังกล่าวก็มีเงินในบัญชีไม่ถึง 2,000 บาท การมีบัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์น้อยในเด็กอาจเป็น ผลมาจากการที่เด็กส่วนใหญ่มักเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคาร ออมสิน (ซึ่งไม่รวมอยู่ในข้อมูลชุดนี้)

นอกจากนี้เรายังพบว่า จํานวนเงินในบัญชีมีความสัมพันธ์กับอายุที่เพิ่มขึ้น กล่าวคือ คนที่มีอายุมากจะมี ปริมาณเงินในบัญชีมากกว่าคนที่อายุน้อย โดยคนวัยหลัง เกษียณมีค่ากลางเงินฝากในบัญชีต่อรายที่ 7,445 บาทเทียบ กับกลุ่มคนที่มีอายุน้อย (อายุ 15-25 ปี) ที่มีประมาณ 947 บาท

ทั้งนี้ ผู้หญิงยังมียอดเงินฝากสูงกว่าของผู้ชาย โดย ผู้หญิงมีค่ากลางเงินฝากต่อรายอยู่ที่ 4,407 บาท สูงกว่าเงิน ฝากในบัญชีของผู้ชายกว่าสองเท่า (ซึ่งอยู่ที่ 2,524 บาท) ใน เกือบทุกช่วงอายุและตั้งแต่ในวัยเด็ก ซึ่งอาจสะท้อนถึงความมีวินัยทางการเงิน หรือ ทักษะการบริหารจัดการเงินของผู้หญิง ที่มีมากกว่าผู้ชายตั้งแต่ยังเล็ก และสอดคล้องกับงานวิจัยหลาย ชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงมีบทบาทสําคัญในการดูแลการเงินของ ครัวเรือน จึงอาจทําให้ผู้หญิงมีเงินในบัญชีมากกว่าผู้ชาย

สัดส่วนของผู้หญิงไทยที่มีบัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์ จะมีสัดส่วนมากกว่าผู้ชายไทย และผู้หญิงก็มีเงิน ในบัญชีเงินฝากมากกว่าผู้ชายถึงสองเท่าในเกือบทุกช่วงอายุ ซึ่งตรงกันข้ามกับประเทศพัฒนาส่วนใหญ่ที่ผู้ชายจะมี เงินฝากมากกว่าผู้หญิง (1.3 เท่าในกรณีชาวอังกฤษ (NEST, 2018) หรือ 2.2 เท่ากรณีชาวอเมริกัน (Fed, 2017)) จากรูปที่ 3 เราเห็นถึงความแตกต่างของสัดส่วนความเป็นเจ้าของบัญชี เงินฝากและยอดเงินฝากในบัญชีระหว่างผู้หญิงและผู้ชายไทย โดยกว่าครึ่งของผู้หญิง (55.5%) จะเป็นเจ้าของบัญชีเงินฝากและมีมากถึง 88.5% ในผู้หญิงอายุ 25 ปี ขณะที่สัดส่วนของ ผู้ชายมีไม่ถึงครึ่ง (48.1%) ที่มีบัญชีเงินฝาก และมากสุดในช่วง อายุ 23 ปี ที่ 77%

ในเชิงพื้นที่เราก็พบความแตกต่างของความเป็น เจ้าของบัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์ โดยคนที่มีบัญชีเงิน ฝากธนาคารพาณิชย์มากที่สุดคือกรุงเทพมหานครและ ปริมณฑล ขณะที่ภาคใต้มีบัญชีน้อยที่สุด รูปที่ 4a แสดงให้ เห็นว่ากว่า 80% ของคนกรุงเทพมหานครและชุมชนเมืองจะมีบัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์ ขณะที่คนในชนบทและบาง จังหวัดในภาคใต้ (นราธิวาส ปัตตานี) ภาคเหนือ (ตาก แม่ฮ่องสอน) ภาคอีสาน (บึงกาฬ) ไม่ถึง 1 ใน 3 ของประชากร ที่มีบัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคน ในชนบทส่วนใหญ่จะมีบัญชีเงินฝากกับสถาบันการเงินเฉพาะ กิจ หรือ สถาบันการเงินกึ่งในระบบและนอกระบบ เช่น สหกรณ์ กลุ่มออมทรัพย์ เป็นต้น

ความแตกต่างของการมีบัญชีเงินฝากธนาคาร พาณิชย์ของคนในแต่ละภูมิภาค ส่วนหนึ่งอาจสะท้อนถึงความ ต้องการและความจําเป็นของผู้ฝากแต่ละกลุ่ม รวมถึงความ ทั่วถึงของปริมาณสาขาของธนาคารพาณิชย์ โดยเราพบ ความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างจํานวนสาขาและความเป็น เจ้าของบัญชี กล่าวคือ หากภูมิภาค/จังหวัด ใดมีจํานวนสาขา ธนาคารพาณิชย์มาก ก็จะมีจํานวนประชากรที่มีบัญชีเงิน ฝากธนาคารพาณิชย์สูงเช่นกัน (รูป 4b)

คนภาคอีสานมีเงินฝากในบัญชีธนาคารพาณิชย์น้อยที่สุด ขณะที่คนกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีเงินฝากสูงสุด โดยสูงกว่าคนภาคอีสานถึง 6.4 เท่า และคนภาคอื่น 3.6 เท่า รูปที่ 5 ฉายภาพความแตกต่างของเงินฝากต่อคนใน ระดับรหัสไปรษณีย์และรายจังหวัด เราพบว่าคนที่มีเงินใน บัญชีสูงสุดส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

(ค่ากลางเงินฝากต่อรายอยู่ที่ 10,442 บาท) และชุมชนเมือง ของหัวเมืองใหญ่ (เช่น ภูเก็ต สมุทรสงคราม ชลบุรี ระยอง เชียงใหม่) ขณะเดียวกันคนภาคอีสาน (โดยเฉพาะบึงกาฬ หนองบัวลําภู กาฬสินธุ์ สุรินทร์ บุรีรัมย์) และบางจังหวัดของ ชายแดนภาคใต้ (นราธิวาส ปัตตานี) มีเงินในบัญชีน้อยที่สุดซึ่งมีไม่เกิน 1,400 บาท ความแตกต่างของเงินในบัญชีของคนใน แต่ละภูมิภาคอาจสะท้อนถึงความแตกต่างของอาชีพในเชิง พื้นที่ และความจําเป็นในการใช้เงิน เช่น ในเดือนมิถุนายนที่ เรามีข้อมูลอาจเป็นเดือนที่เกษตรกรต้องใช้เงินเพื่อทํา เกษตรกรรม จึงอาจทําให้ข้อมูลการออมของคนกลุ่มนี้ตํ่าไปได้

หากเปรียบเทียบกับค่าครองชีพรายเดือน (ไม่รวม ค่าใช้จ่ายที่ไม่จําเป็น) เราพบว่าคนไทยส่วนใหญ่ (58%) มีเงิน ในบัญชีไม่พอจ่ายค่าครองชีพรายเดือน โดยเฉพาะคนภาคอีสาน ที่ 2 ใน 3 ของคนภาคอีสานมีเงินในบัญชีไม่พอจ่ายค่า ครองชีพรายเดือนที่ 6,345 บาท2 ขณะที่สัดส่วนของคน กรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่มีเงินในบัญชีไม่พอจ่ายค่า ครองชีพอยู่ที่ 44%

รูปที่ 6 ฉายภาพการกระจายตัวของเงินฝากในภาค กลาง เหนือ อีสาน และกรุงเทพมหานคร โดยแต่ละจุดแทนผู้ ฝาก 100 ราย ซึ่งจุดสีแดง (นํ้าเงิน) คือกลุ่มผู้ฝากรายใหญ่ (เล็ก) ที่สุด 10% และจุดสีเทาคือกลุ่ม 80% ที่เหลือ รูปที่ 6 แสดงให้เห็นว่าผู้ฝากรายใหญ่สุด 10% มักอยู่ที่ชุมชนเมือง ในจังหวัดใหญ่ ๆ เช่น กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ที่มีผู้ฝากรายใหญ่สุด 1% จํานวนมาก) ชลบุรี เชียงใหม่ นครราชสีมา และสงขลา เป็นต้น ซึ่งจะเห็น จํานวนจุดสีแดงในปริมาณมากเมื่อเทียบกับจุดสีอื่น ๆ เช่นเดียวกับผู้ฝากรายเล็กสุด 10% ซึ่งมักกระจุกในภาคอีสาน และชุมชนเมืองของจังหวัดใหญ่ ๆ ข้างต้นด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ในมิติของอายุ เราพบว่าผู้ฝากรายใหญ่สุด 10% มักเป็นกลุ่มคนวัยใกล้เกษียณและหลังเกษียณ ในทางกลับกัน กลุ่มผู้ฝากรายเล็กสุด 10% มักกระจุกในกลุ่มเด็กและกลุ่มคน เริ่มทํางาน (15-25 ปี) และบางส่วนในวัยหลังเกษียณ

สะท้อนพฤติกรรมการออมของคนไทยผ่านบัญชีเงินฝาก ธนาคารพาณิชย์

เราพบว่าคนไทยมีบัญชีธนาคารพาณิชย์อย่างแพร่หลายแต่อาจไม่ได้หมายความว่าออม โดยกว่าครึ่งของคน ไทยมีบัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์ และครึ่งหนึ่งของผู้ฝากมี เงินในบัญชีไม่เกิน 3,142.2 บาท

ผู้ฝากเกือบทั้งหมดจะมีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ และผู้ฝากส่วนใหญ่ (88%) จะฝากเงินไว้ในบัญชีออมทรัพย์เท่านั้น รูปที่ 7 จําแนกพฤติกรรมการฝากเงินตาม combination ของประเภทบัญชีเงินฝากที่ผู้ฝากแต่ละคนมี เราพบว่า 97.3% ของผู้ฝากมีบัญชีออมทรัพย์ บัญชีเงินฝาก ออมทรัพย์จึงถือเสมือนเป็นบัญชีขั้นพื้นฐานสําหรับทุกคน เช่นเดียวกับผู้ฝากในประเทศอื่นๆ เว้นแต่ในประเทศอเมริกา และเนเธอร์แลนด์ที่พบว่าสัดส่วนของครัวเรือนที่มีบัญชีกระแส รายวัน (checking account หรือ current account) มากกว่า ครัวเรือนที่มีบัญชีออมทรัพย์ นอกจากนี้ผู้ฝากยังนิยมฝาก เงินไว้กับธนาคารพาณิชย์ไทยเป็นหลัก โดยเฉพาะธนาคาร พาณิชย์ไทยขนาดใหญ่

ครึ่งหนึ่งของผู้ฝากจะมีเพียง 1 บัญชีเงินฝาก และ ใช้ 1 สถาบันการเงิน โดยมีเพียง 5% ของผู้ฝากที่มีมากกว่า 5 บัญชี ขณะเดียวกันก็มีไม่ถึง 1% ของผู้ฝากที่ฝากกับสถาบัน การเงินมากกว่า 5 แห่ง และโดยเฉลี่ยคนไทยจะมี 2.2 บัญชี เงินฝาก และฝากกับสถาบันการเงิน 1.7 แห่ง

พฤติกรรมการฝากเงินของคนไทยยังมีความ แตกต่างทั้งในมิติเชิงอายุและพื้นที่ รูปที่ 8 แสดงพฤติกรรม ของคนกลุ่มต่าง ๆ ตามจํานวนบัญชีเงินฝาก (โดยรูปที่แสดง พฤติกรรมของคนกลุ่มต่าง ๆ ตามจํานวนสถาบันการเงินที่ใช้มี ลักษณะไม่แตกต่างจากรูปที่ 8) เราพบว่า (1) ผู้ฝากรายใหญ่

ส่วนใหญ่มักจะมีหลายบัญชีเงินฝากและใช้หลายสถาบัน การเงิน (โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่) ขณะที่ผู้ ฝากรายเล็กส่วนใหญ่จะมี 1 บัญชีและใช้ 1 สถาบันการเงิน (2) ผู้ฝากวัยทํางานส่วนใหญ่ (60%) จะมีหลายบัญชีและใช้สถาบันการเงินหลายแห่งแต่มีไม่ถึง 10% ในกรณีของผู้ฝากที่มีอายุน้อย (อายุ 15-18 ปี) (3) ผู้ฝากผู้หญิงจะมีหลายบัญชีและใช้หลาย สถาบันการเงินมากกว่าผู้ฝากผู้ชาย และ (4) กรุงเทพมหานคร ปริมณฑลและชุมชนเมืองมีสัดส่วนของผู้ฝากที่มีหลายบัญชี และใช้หลายสถาบันการเงินมากกว่าภูมิภาคอื่น โดยมีผู้ฝากถึง 7.3% ในชุมชนเมืองที่มีบัญชีเงินฝากมากกว่า 5 บัญชี เปรียบเทียบกับ 3% ในชนบท

เมื่อพิจารณาพอร์ตเงินฝากของผู้ฝากแต่ละราย เราพบว่าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เป็นบัญชีมหาชนที่ใช้โดยคน ทุกกลุ่ม ทุกวัย ขณะที่บัญชีเงินฝากประจําจะพบมากใน กลุ่มวัยหลังเกษียณ รูปที่ 9 แสดงสัดส่วนของผู้กู้ตาม top 10 บัญชีเงินฝาก และแสดงให้เห็นว่าผู้ฝากส่วนใหญ่จะมีบัญชี เงินฝากออมทรัพย์มากกว่า 1 บัญชี โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ฝาก อายุ 20-40 ปี จะมีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์คนละ 2-4 บัญชี แต่จะไม่ค่อยมีบัญชีเงินฝากประจํา เรายังพบว่าสัดส่วนของผู้ ฝากที่มีบัญชีเงินฝากประจําทยอยเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้ฝากอายุ 45 ปีขึ้นไป และมีมากถึง 20% ในกลุ่มวัยหลังเกษียณ ทั้งนี้พฤติกรรมการมีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์หลายบัญชีอาจ สะท้อนถึงความจําเป็นเพื่อใช้ในการบริหารจัดการเงิน หรือ ความสะดวกสบายในการทําธุรกรรมทางการเงินกับหลาย สถาบันการเงิน เป็นต้น

เงินส่วนใหญ่ของผู้ฝากทุกกลุ่ม (ทุกวัย ทุกเพศ ทุกภูมิภาค) จะอยู่ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ เฉลี่ย ประมาณ 93.3% ของเงินในพอร์ตของผู้ฝาก และมีเพียง 6.3% ที่อยู่ในบัญชีเงินฝากประจํา จากรูปที่ 10 เราจะเห็นความ แตกต่างของการจัดสรรเงินในพอร์ตของผู้ฝากแต่ละกลุ่มตาม ประเภทบัญชีเงินฝาก และพบว่า (1) เงินส่วนใหญ่ของผู้ฝากจะ อยู่ในบัญชีออมทรัพย์ มีเงินเพียงส่วนน้อยของผู้ฝากที่อยู่ใน บัญชีเงินฝากประจํา (2) สัดส่วนของเงินในบัญชีเงินฝาก ประจําทยอยเพิ่มขึ้นในบางกลุ่มผู้ฝาก (ได้แก่ ผู้ฝากรายใหญ่ สุด คนในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑลและชุมชนเมือง รวมถึงคนวัยหลังเกษียณและผู้ฝากผู้หญิง) แม้แต่พอร์ตของผู้ฝาก รายใหญ่สุด ก็ยังมีเงินในบัญชีเงินฝากประจําเพียง 22% (3) คนภาคอีสานและกลุ่มผู้ฝากที่มีอายุน้อย (15-25 ปี) มีสัดส่วน ของเงินในบัญชีเงินฝากประจําน้อยสุดเพียง 1.6-3.9%

จากพฤติกรรมดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นคําถามที่ น่าสนใจว่า คนไทยฝากเงินไว้ในบัญชีธนาคารพาณิชย์กันเพื่อ อะไร แล้วทําไมเราถึงไม่นําเงินไปฝากไว้ในบัญชีที่ให้ ผลตอบแทนที่ดีกว่า หรือนําไปลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงิน อื่นหรือสินทรัพย์รูปแบบอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

ข้อสรุปและนัยเชิงนโยบาย

บทความนี้ใช้ข้อมูลเชิงสถิติจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากที่ครอบคลุมผู้ฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ทั้งหมดทั่วประเทศ และมีความละเอียดในระดับบัญชีเงินฝาก มาพยายามเข้าใจสถานการณ์การออมของคนไทย ซึ่งเราสามารถสะท้อน 2 ประเด็น ชวนคิด คือ

หนึ่ง ถึงแม้ว่าคนไทยสามารถเข้าถึงบริการเงินฝาก และมีบัญชีเงินฝากกันได้อย่างแพร่หลาย แต่ยังมีระดับการออมใน บัญชีเงินฝากอยู่ในระดับตํ่า หลักฐานเชิงประจักษ์นี้แสดงให้เห็นว่านโยบายที่จะส่งเสริมการออมต้องไม่หยุดแค่การส่งเสริมการ เข้าถึงบริการเงินฝาก (ซึ่งทําได้มีประสิทธิภาพแล้ว เช่น ความทั่วถึงของสาขาธนาคาร การให้บริการบัญชีเงินฝากพื้นฐาน (basic account) การยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์อย่าง e-KYC หรือ national digital ID เป็นต้น) เท่านั้น แต่ควรให้ความสําคัญกับนโยบายที่กระตุ้นพฤติกรรมการออม ความตระหนักและความเข้าใจถึงความสําคัญของการออม งานวิจัยในต่างประเทศหลาย ชิ้นได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการใช้วิธีทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมมาสร้างแรงจูงใจในการออม

สอง คนไทยส่วนใหญ่ยังคงฝากเงินไว้ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ แทนการฝากเงินในบัญชีประเภทอื่นที่ให้ผลตอบแทน ที่ดีกว่า และผู้ฝากบางกลุ่มก็ยังคงเก็บเงินในปริมาณมากในบัญชีเงินฝากที่ให้ผลตอบแทนตํ่ากว่าผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ หลักฐานเชิงประจักษ์นี้อาจสะท้อนถึงการที่ผู้ฝากให้ความสําคัญในบางคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น ความยืดหยุ่น หรือสภาพคล่อง หรือการขาดความตระหนักรู้ถึงผลิตภัณฑ์เงินฝากประเภทต่าง ๆ และผลิตภัณฑ์การเงินอื่น ๆ หรือการขาด ความรู้ในการบริหารจัดการเงิน ดังนั้นการออกแบบผลิตภัณฑ์การออมที่ตรงตามความต้องการทางการเงินของผู้ออมกลุ่มต่าง ๆ ประกอบกับการส่งเสริมความรู้ทางการบริหารจัดการเงินและผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้แก่ผู้ฝาก ก็เป็นสิ่งจําเป็นในการส่งเสริม การออมที่มีประสิทธิภาพให้กับคนไทย

เอกสารอ้างอิง

Bank of Thailand (2018). Financial Access Survey of Thai Households 2018.

Deuflhard, F., Georgarakos, D. and Inderst, R. (2015). Financial literacy and savings account returns. ECB Working Paper Series 1852 Federal Reserve (2017). 2016 Survey of Consumer Finances (SCF).

FDIC (2018). National Survey of Unbanked and Underbanked Households. IMF (2019). Financial Access Survey Lamsam, A., S. Chantarat, R. Boonlert, S. Choedpasuporn (forthcoming). Understanding Saving Behavior Through 80 Million Deposit Accounts in Thailand. PIER Discussion Paper Forthcoming. National Statistical Office (2017). The 2017 Household Socio-Economic Survey.

NEST and Vanguard (2018). How the UK Saves 2018: Member Experience from the National Employment Savings Trust (NEST) World Bank (2017). The Global Findex Database 2017.

ข้อสงวน : บทความ บทวิเคราะห์ หรืองานวิจัยที่จัดทําขึ้นโดยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ และสถาบันคุ้มครองเงินฝาก เพื่อประโยชน์ในการเผยแพร่ต่อสาธารณะและการดําเนินงานของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ข้อมูลที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้ จัดทําโดยอาศัยข้อมูลเชิงสถิติ ข้อมูลเศรษฐกิจการเงิน ข้อมูลเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้ฝาก และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินงาน ของสถาบันคุ้มครองเงินฝากจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ อย่างไรก็ตาม สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ และสถาบัน คุ้มครองเงินฝาก ไม่ยืนยัน และไม่รับรองถึงความครบถ้วนสมบูรณ์หรือถูกต้องของข้อมูล จึงไม่รับผิดชอบต่อการนําเอาข้อมูล ข้อความ ความเห็น หรือบทสรุปที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้ไปใช้ ไม่ว่ากรณีใด ๆ สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ และสถาบันคุ้มครองเงินฝากมีสิทธิแต่ผู้เดียวในทรัพย์สินทางปัญญาของรายงานฉบับนี้ และขอสงวนลิขสิทธิ์ในข้อมูลที่ปรากฏใน เอกสารนี้ ห้ามมิให้ผู้ใดใช้ประโยชน์ ทําซํ้า ดัดแปลง นําออกแสดง ทําให้ปรากฏหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนไม่ว่าด้วยประการใด ๆ ซึ่งข้อมูลในเอกสารนี้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนในเชิงพาณิชย์ เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊ง ภากรณ์ และสถาบันคุ้มครองเงินฝาก เป็นการล่วงหน้า นอกจากนี้ การกล่าว คัด หรืออ้างอิงข้อมูลบางส่วนตามสมควรใน รายงานฉบับนี้ ไม่ว่าในบทความ บทวิเคราะห์ งานวิจัย ในเอกสารหรือการสื่อสารอื่นใด จะต้องกระทําโดยถูกต้องและไม่เป็นการ ก่อให้เกิดการเข้าใจผิด หรือความเสียหายแก่สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ และสถาบันคุ้มครองเงินฝาก รวมทั้งต้องรับรู้ ถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในข้อมูลของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ และสถาบันคุ้มครองเงินฝาก และต้องอ้างอิงถึง ฉบับและวันที่ในเอกสารฉบับนี้โดยชัดแจ้ง

Topics: Development, Economic Growth, Financial System

Tags: Saving, Deposit Protection Agency, Deposit, Saving Behavior, Saving Account, Gender

1 สถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของ DPA มีทั้งหมด 35 แห่ง ทั้งนี้ ข้อมูลที่ใช้ศึกษาในบทความนี้ได้ผ่านการปกปิดตัวตนตาม หลักการของสากลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ⤴︎

2 ข้อมูลแบบสํารวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนปี 2560 ⤴︎


โดย: สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ และสถาบันคุ้มครองเงินฝาก

ปรับปรุงล่าสุด 28 ก.พ. 2567

สงวนสิทธิ์โดยสถาบันคุ้มครองเงินฝาก

บทความอื่นๆ

ดูเพิ่มเติม